ต่อมน้ำลายอักเสบ (Salivary Gland Infection) เกิดขึ้นเมื่อมีการติดเชื้อที่ต่อมน้ำลายโดยแบคทีเรียหรือไวรัสเข้าไปในต่อมน้ำลาย โดยต่อมเหล่านี้จะอยู่บริเวณศรีษะและลำคอ
การติดเชื้อที่ต่อมน้ำลายมักเกิดขึ้นในสองต่อมหลักซึ่งจะอยู่ด้านหน้าของหู (ต่อมหู) และใต้คาง (ต่อมใต้ผิวหนัง)
การติดเชื้อที่ต่อมน้ำลายหรือที่เรียกว่า ต่อมน้ำลายอักเสบเรื้อรัง อาจทำให้เกิดการอุดตันในท่อน้ำลายเนื่องจากการอักเสบได้ ทำให้เกิดอาการปวด กดเจ็บและบวมช้ำ
สาเหตุของภาวะต่อมน้ำลายติดเชื้อ
ต่อมใต้ผิวหนังมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดภาวะต่อมน้ำลายติดเชื้อ
ภาวะต่อมน้ำลายติดเชื้อเกิดขึ้นเมื่อแบคทีเรียหรือไวรัสติดเชื้อในต่อมที่ผลิตน้ำลาย
ภาวะต่อมน้ำลายติดเชื้อเกิดขึ้นได้จาก:
-
การไหลของน้ำลายลดลงเนื่องจากภาวะหรือโรคบางอย่าง เช่น ภาวะปากแห้ง
-
สุขอนามัยในช่องปากที่ไม่ดีซึ่งจะเพิ่มการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย เช่น โรคอาหารเป็นพิษเนื่องจากเชื้อสแตฟฟิโลคอกคัลหรือโรคติดเชื้อจากแบคทีเรียฮีโมฟิลุส อินฟลูเอนเซ่
-
เกิดการอุดตันในต่อมน้ำลายจากเนื้องอก ฝีหรือนิ่วในต่อมน้ำลาย
-
การขาดน้ำอย่างรุนแรงซึ่งอาจเกิดจากการเจ็บป่วยหรือการผ่าตัด
-
เกิดการอุดตันในต่อมน้ำลายอาจทำให้เกิดการอักเสบทำให้ต่อมเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น
นอกจากนี้ ต่อมน้ำลายที่อักเสบมักจะผลิตน้ำลายน้อยลงซึ่งไหลช้ากว่าปกติ ด้วยเหตุนี้ บางครั้ง น้ำลายจึงคั่งในต่อมทำให้ความเข้มข้นของแบคทีเรียหรือไวรัสภายในน้ำลายเพิ่มขึ้น
สาเหตุที่พบบ่อยของการอุดตันของต่อมน้ำลาย ได้แก่ :
-
นิ่วในต่อมน้ำลาย
-
เกิดการอุดตันในท่อน้ำลาย
-
มีเนื้องอก
-
ต่อมน้ำลายผิดรูป
แบคทีเรียอาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่ต่อมน้ำลายมากกว่าไวรัส แต่ไวรัสบางชนิดที่พบบ่อยก็เป็นสาเหตุของการติดเชื้อในต่อมน้ำลาย ได้แก่ :
ประเภทต่าง ๆ ของภาวะติดเชื้อต่อมน้ำลาย
คนทุกวัย รวมถึง ทารกแรกเกิดเกิดการติดเชื้อที่ต่อมน้ำลายได้ มักพบได้บ่อยในผู้สูงอายุและผู้ป่วยเรื้อรัง
ต่อมน้ำลายที่สำคัญมีอยู่ 3 คู่ โดยแต่ละคู่จะอยู่ที่ด้านใดด้านหนึ่งของใบหน้า ต่อมทั้ง 6 ต่อมเหล่านี้อาจเกิดการติดเชื้อได้ ต่อมน้ำลายที่สำคัญ ได้แก่:
-
ต่อมน้ำลายหน้าหู ซึ่งอยู่ภายในแก้มวัดจากด้านบนของหูเข้าไปในขากรรไกร ซึ่งเป็นต่อมน้ำลายที่ใหญ่ที่สุด
-
ก้อนทูมของต่อมน้ำลายใต้กราม ซึ่งอยู่ด้านหลังกรามล่างใต้ลิ้นและคาง ต่อมนี้เป็นต่อมน้ำลายที่ใหญ่เป็นอันดับสองในบรรดาต่อมน้ำลาย
-
ต่อมน้ำลายใต้ลิ้น ซึ่งอยู่บริเวณใต้ลิ้นแต่ละด้านของลิ้น ต่อมน้ำลายส่วนนี้เป็นต่อมน้ำลายที่เล็กที่สุดในบรรดาต่อมน้ำลาย
-
ต่อมน้ำลายหน้าหูและก้อนทูมของต่อมน้ำลายใต้กรามมักจะติดเชื้อบ่อยที่สุด
การติดเชื้อที่ต่อมน้ำลายส่วนใหญ่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันหรือเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ซึ่งเกิดจากการอุดตันหรือท่อน้ำลายแคบลงในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของชีวิต
อาการของภาวะต่อมน้ำลายติดเชื้อ
ผู้ที่มีภาวะต่อมน้ำลายติดเชื้ออาจมีอาการปวดและบวมที่บริเวณคอ อาการส่วนใหญ่ของการติดเชื้อที่ต่อมน้ำลายจะคงอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์ และอาจยังมีอาการบวมเล็กน้อยไปอีก 2-3 สัปดาห์
การติดเชื้อต่อมน้ำลายเฉียบพลันมักไม่ค่อยก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ผู้ที่มีภาวะต่อมน้ำลายติดเชื้ออาจมีอาการจำเพาะแตกต่างกันไปในแต่ละราย และจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งและความรุนแรงของโรค
อาการของภาวะต่อมน้ำลายติดเชื้อมักส่งผลต่อศีรษะหรือคอและอาจทำให้เกิด:
-
มีอาการเจ็บหรือปวด
-
ผิวหนังแดง
-
มีอาการค่อย ๆ บวมรอบ ๆ บริเวณที่เกิดโรค
-
เกิดหนองในปาก
-
ปากรับรสชาติแปลก ๆ ตลอดเวลา และก็ไม่หายแม้จะดูแลสุขอนามัยของฟันได้ดีก็ตาม
-
เจ็บใต้คาง
-
อ้าปากแล้วเจ็บหรืออ้าปากไม่ได้ เคี้ยวหรือกลืนอาหารลำบาก
-
มีไข้
-
มีอาการหนาวสั่น
-
สำหรับผู้ป่วยหลายคน อาการจะแย่ลงหลังกินอาหาร
-
ผู้ที่มีเนื้องอกที่ทำให้เกิดการอุดกั้นอาจมีก้อนเนื้อแข็ง ๆ บริเวณที่เกิดโรค
พบแพทย์ทันทีหากมีอาการ:
-
รุนแรงมาก
-
ทำให้การกินอาหาร การดื่มของเหลว การกลืนหรือหายใจลำบาก
-
เจ็บปวดมาก
-
เป็นนานกว่า 2 สัปดาห์
-
อาการไม่ดีขึ้นแม้จะได้รับการดูเบื้องต้น เช่น การดื่มน้ำมาก ๆ และทำให้เกิดสุขอนามัยในช่องปากที่ดี
การรักษาภาวะต่อมน้ำลายติดเชื้อ
การติดเชื้อที่ต่อมน้ำลายจำนวนมากสามารถรักษาให้หายได้เองโดยไม่ต้องใช้ยา แพทย์จะเลือกวิธีรักษาการติดเชื้อต่อมน้ำลายที่ดีที่สุดโดยวิเคราะห์จากสาเหตุ ผู้ที่ติดเชื้อแบคทีเรียมักจะต้องรับประทานยาปฏิชีวนะ ทั้งนี้การรักษาภาวะนี้ไม่มียาต้านไวรัสโดยเฉพาะ แต่มียาที่สามารถช่วยลดหรือจัดการกับอาการของโรคเริม ไข้หวัดใหญ่และเอชไอวีได้ เมื่อเกิดการอุดตัน เช่น เกิดนิ่วหรือเนื้องอกที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในต่อมน้ำลาย
แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัดเพื่อรักษา ผู้ที่มีภาวะต่อมน้ำลายติดเชื้ออาจต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อซ่อมแซมหรือเอาท่อที่คดงอหรือท่อที่ตีบที่ส่งผลต่อการไหลของน้ำลายออก
ผู้ที่มีการติดเชื้อต่อมน้ำลายซึ่งเกิดจากภาวะหรือโรคที่มีมาก่อนหน้าจะต้องได้รับการรักษาเฉพาะทางเพิ่มเติม หากมีการติดเชื้อที่เกิดจากฝีขนาดใหญ่ แพทย์อาจต้องเปิดและระบายฝีออก สำหรับผู้ที่รับประทานยาเพื่อรักษาภาวะติดเชื้อในต่อมน้ำลาย แพทย์อาจต้องเปลี่ยนยาหรือเปลี่ยนขนาดยา
การดูแลรักษาภาวะต่อมน้ำลายติดเชื้อด้วยตัวเอง
นอกเหนือจากยาแล้วยังมีวิธีการดูแลรักษาด้วยตัวเองที่บ้านอีกมากมายที่อาจช่วยให้ร่างกายรักษาการติดเชื้อในต่อมน้ำลาย ผู้ที่มีภาวะต่อมน้ำลายติดเชื้ออาจ:
-
ดื่มของเหลวให้มาก ๆ เพื่อรักษาภาวะขาดน้ำ
-
นวดบริเวณที่เกิดโรคบ่อยครั้งต่อวัน หากเกิดการอุดตันเพื่อกระตุ้นให้น้ำลายไหล
-
อมยาอมที่ปราศจากน้ำตาลหรือลูกอมที่มีรสเปรี้ยวเพื่อกระตุ้นการผลิตน้ำลาย
-
บริโภคอาหารและเครื่องดื่มรสเปรี้ยวที่ทำให้น้ำลายไหล เช่น น้ำมะนาว ผักดองหรือกะหล่ำปลีดอง
-
ประคบอุ่นในบริเวณที่เกิดโรค โดยประคบเป็นเวลา 10 ถึง 15 นาทีหลาย ๆ ครั้งต่อวัน
-
ใช้น้ำยาบ้วนปากและใช้ยาบ้วนที่มีคาร์บอกซีเมทิลเซลลูโลสเพื่อเป็นสารทดแทนน้ำลาย
การวินิจฉัยภาวะต่อมน้ำลายติดเชื้อ
แพทย์อาจต้องทำอัลตร้าซาวด์เพื่อดูการอุดตันโดยละเอียด ในการวินิจฉัยการติดเชื้อที่ต่อมน้ำลาย แพทย์มักเริ่มจากการซักประวัติผู้ที่มีภาวะต่อมน้ำลายติดเชื้อเกี่ยวโดยเฉพาะเรื่องของอาการ และประวัติการเกิดโรค และทำการตรวจบริเวณที่เกิดโรคเพิ่มเติม
ในกรณีที่มีเนื้องอกหรือการอุดตันขยายขนาดขึ้นและทำให้เกิดการติดเชื้อ แพทย์อาจนำตัวอย่างจากบริเวณที่เกิดโรคเพื่อส่งไปยังห้องปฏิบัติการเพื่อทำการตรวจเพิ่มเติม หากมีการอุดตันในต่อมน้ำลาย แพทย์อาจใช้การตรวจวินิฉัยด้วยภาพถ่ายเพื่อให้ได้มุมมองที่ดีขึ้นในบริเวณที่เกิดโรค เช่น:
-
การตรวจอัลตราซาวนด์
-
การตรวจวินิจฉัยโรคด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์
-
การตรวจด้วยเครื่องสร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า
-
การส่องกล้องทางเดินน้ำลาย
-
การถ่ายภาพเอ็กซ์เรย์ของต่อมน้ำลายโดยการสีย้อมเข้าไปในต่อมน้ำลายให้ปรากฏในถ่ายภาพด้วยรังสีเอ็กซ์
ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดภาวะการติดเชื้อในต่อมน้ำลาย
ปัจจัยหลายอย่างทำให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดภาวะการติดเชื้อในต่อมน้ำลาย เช่น การดำเนินชีวิต การใช้ยาบางชนิด และภาวะและโรคต่าง ๆ ที่ลดการไหลของน้ำลายและทำให้เกิดการติดเชื้อต่อมน้ำลายเช่น:
-
ภาวะขาดน้ำ
-
หายใจทางปากบ่อยเกินไป
-
มีภาวะทุพโภชนาการ
-
ใช้ยาแก้แพ้
-
ใช้ยาซึมเศร้า
-
ใช้ยาขับปัสสาวะ
-
ใช้ยากลุ่มเบต้าบล็อกเกอร์
-
ใช้ยาระงับประสาท
-
ใช้ยารักษาโรคทางจิต
-
ใช้ยาต้านพาร์กินสัน
-
ใช้ยากดภูมิ
-
อายุเกิน 65 ปีหรือเป็นทารกแรกเกิด
-
เพิ่งเข้ารับการผ่าตัด
-
เข้ารับการฉายรังสีหรือเคมีบำบัดในช่องปาก ศีรษะหรือลำคอ
-
เข้ารับการบำบัดด้วยไอโอดีนกัมมันตภาพรังสีของต่อมไทรอยด์
-
เป็นโรคเบาหวาน
-
กลุ่มอาการโจเกรน
-
การติดเชื้อต่อมน้ำเหลือง
-
การเบื่ออาหาร
-
ไตล้มเหลว
-
อยากอาหารมากผิดปกติ
-
ภาวะต่อมไทรอยด์หลั่งฮอร์โมนน้อยผิดปกติ
-
การป้องกันการเกิดภาวะการติดเชื้อในต่อมน้ำลาย
ปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีป้องกันการเกิดการติดเชื้อต่อมน้ำลายจำเพาะ แต่อาจมีเคล็ดลับในการดำเนินชีวิตที่อาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะการติดเชื้อในต่อมน้ำลายได้ เช่น:
-
ให้ร่างกายได้รับน้ำตลอดและจิบของเหลวตลอดทั้งวัน
-
แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง
-
ใช้ไหมขัดฟันทุกวัน
-
ล้างปากด้วยน้ำหลังรับประทานอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มหรืออาหารที่มีรสหวานหรือน้ำอัดลม
-
ทำความสะอาดฟันทุก ๆ 6 เดือน
-
เคี้ยวหมากฝรั่งที่ไม่มีน้ำตาลหรืออมลูกอมที่ไม่มีน้ำตาล
-
ลดการดื่มแอลกอฮอล์
-
งดผลิตภัณฑ์ยาสูบ
-
กินอาหารในปริมาณเล็กน้อยเพื่อกระตุ้นการผลิตน้ำลาย
แนวโน้มของโรค
โดยรวมแล้ว แนวโน้มการเกิดการติดเชื้อในต่อมน้ำลายนั้นถือว่าไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล
การติดเชื้อที่ต่อมน้ำลายส่วนใหญ่จะหายได้เองด้วยการใช้ยา การดูแลตนเอง และการดูแลรักษาด้วยตัวเองที่บ้าน
ผู้ที่ติดเชื้อในต่อมน้ำลายรุนแรงหรือเรื้อรังจะต้องได้รับการจากแพทย์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการติดเชื้อนั้นเป็นโรคที่มีมาก่อนหน้า
ให้ปรึกษาแพทย์เสมอหากมีอาการที่กระทบกับศีรษะและคอทุกที่รุนแรงเป็นเวลานานกว่า 2 สัปดาห์ หรือเป็นแล้วไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่ต้นในขณะที่ไม่สามารถอ้าปากหุบปากเองได้ ให้ปรึกษาแพทย์ทันที
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
-
https://www.webmd.com/oral-health/guide/salivary-gland-problems-infections-swelling#1
-
https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/salivary-gland-cancer/symptoms-causes/syc-20354151
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก