โรคผิวเผือก (Albinism) หมายถึงความผิดปกติที่เกิดจากการมีเม็ดสีผิวน้อยกว่าปกติหรือเม็ดสีเมลานินหายไป ซึ่งโรคนี้มีอาการรุนเเรงที่หลากหลายและโดยปกติมักทำให้เกิดผิวและผมเป็นสีขาวรวมถึงมีปัญหาด้านการมองเห็น
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโรคผิวเผือก
นี่คือข้อสรุปใจความสำคัญเกี่ยวกับโรคผิวเผือก สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมและรายละเอียดอื่นๆอยู่ในบทความหลัก
- โรคผิวเผือกยังไม่มีวิธีการรักษาแต่อาการบางอย่างที่เกิดขึ้นสามารถรักษาได้
- โรคผิวเผือกเป็นโรคทางพันธุกรรม
- อาการแรกของโรคผิวเผือกมักเกิดขึ้นกับเส้นผม ดวงตา ผิวหนังและการมองเห็น
- สาเหตุส่วนใหญ่ของโรคผิวเผือกคือการทำงานผิดปกติของเอนไซม์ tyrosinase
- 1 ใน 70 คนมียีนที่เกี่ยวข้องกับโรคผิวเผือก
โรคผิวเผือกคืออะไร
โรคผิวเผือกเป็นโรคทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเม็ดสีผิวเมลาโทนินที่มีอัตราต่ำเกินไป
เมลาโทนินเป็นเม็ดสีผิวที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดสีผิว เส้นผมและดวงตา
ผู้ที่เป็นโรคผิวเผือกมักมีสีผิวขาวสว่างและมีผมสีขาวกว่าคนปกติหรือคนเชื้อชาติเดียวกัน รวมถึงมีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็นเป็นปกติ
โดยปกติสารเมลาโทนีนทำหน้าที่ปกป้องผิวไม่ให้ถูกทำลายด้วยเเสงยูวี ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคผิวเผือกจึงมีอาการแพ้เเสงแดดและมีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งผิวหนังได้มากกว่าคนปกติ
อาการผิวเผือก
อาการเบื้องต้นของผู้ที่เป็นผิวเผือกเกิดขึ้นกับผิวหนัง เส้นผมและสีของตารวมถึงการมองเห็น
ผิวหนัง
โดยส่วนใหญ่อาการของคนผิวเผือกคือมีผิวโทนสว่าง แต่โทนของสีผิวจะไม่ค่อยแตกต่างจากที่เป็นอยู่มากนัก
ซึ่งบางคนมีระดับของเม็ดสีเมลาโทนินเพิ่มขึ้นช้าเมื่อเวลาผ่านไปหรือบางคนมีผิวโทนเข้มเมื่ออายุเพิ่มขึ้น
คนเผือกจะมีอาการผิวไหม้แดดได้ง่าย แต่โดยปกติสีผิวจะไม่เปลี่ยนเป็นผิวสีแทน
หลังจากคนผิวเผือกสัมผัสกับเเสงแดด บางคนอาจมีอาการดังต่อไปนี้เกิดขึ้นได้แก่
- ตกกระ
- มีไฝเกิดขึ้นโดยปกติมักเป็นสีชมพูเนื่องจากมีเม็ดสีผิวน้อยลง
- มีฝ้าขึ้นและตกกระเป็นบริเวณกว้าง
นอกจากนี้คนผิวเผือกยังมีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งผิวหนังสูงกว่าคนทั่วไป ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคผิวเผือกควรทาครีมกันเเดดที่มี SPF 30 หรือสูงกว่าและควรแจ้งให้แพทย์ทราบถ้าหากมีไฝเกิดขึ้นใหม่หรือมีสีผิวเปลี่ยนแปลงไป
เส้นผม
เส้นผมของคนผิวเผือกมีโทนสีตั้งแต่สีขาวไปจนถึงสีน้ำตาล สำหรับคนเชื้อชาติแอฟริกาหรือเอเชียที่เป็นโรคผิวเผือกมักมีผมสีเหลือง น้ำตาลหรือสีแดง
เมื่อคนผิวเผือกมีอายุมากขึ้น สีผมของพวกเขาจะค่อยมีสีเข้มขึ้น
ดวงตา
ดวงตาของคนผิวเผือกสามารถเปลี่ยนแปลงได้หลายสีตั้งแต่สีฟ้าอ่อนไปจนถึงสีน้ำตาล
เม็ดสีเมลาโทนินที่ม่านตาน้อยทำให้ตาค่อยๆโปร่งเเสง และอ่อนไหวต่อเเสง ซึ่งม่านตาจะกลายเป็นสีแดงหรือสีชมพูเมื่อเกิดการสะท้อนเเสงที่จอประสาทตาที่อยู่ด้านหลังของกระบอกตา
การขาดแคลนเม็ดสีผิวเมลาโทนินที่ทำหน้าที่ปกป้องม่านตาจากแสงแดด ทำให้คนผิวเผือกมีอาการแพ้แสงแดดซึ่งเรียกว่าโรคไวต่อแสงแดด
การมองเห็น
คนผิวเผือกมักส่งผลต่อการมองเห็นและการเปลี่ยนแปลงของสีม่านตาสามารถทำให้เกิดปัญหาดังต่อไปนี้
- อาการตากระตุก : เป็นอาการที่ตาเกิดการกระตุกเองและไม่สามารถควบคุมได้
- ตาเหล่: ดวงตาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน
- สายตาอ่อนล้า : หรือเรียกว่า “สายตาขี้เกียจ”
- สายตาสั้นหรือสายตายาว : เป็นอาการที่มองเห็นภาพในระยะใกล้หรือไกลเกินไป
- โรคกลัวเเสง : ดวงตามีความอ่อนไหวต่อแสงแดด
- เส้นประสาทตาเล็กไม่พัฒนา : เป็นความบกพร่องทางการมองเห็นที่เกิดจากการไม่เจริญเติบโตของเส้นประสาทตา
- เส้นประสาทตาหลุดออกจากทิศทางปกติ : เส้นประสาทที่นำทางจากจอประสาทตาไปยังสมองเกิดการหลุดออกจากทิศทางปกติ
- ภาวะตาพร่า : เป็นความผิดปกติของพื้นผิวด้านหน้าเลนส์ตาส่งผมทำให้เป็นภาพเบลอ
วิธีที่สามารถช่วยเหลือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับสายตาได้แก่
- ตัดแว่นด้วยเลนส์ชนิดพิเศษที่ทำให้มองเห็นภาพในระยะไกล
- ใช้คอมพิวเตอร์ที่มีหน้าจอใหญ่หรือปรับสีหน้าจอให้มีความคมชัดสูง
- ติดต่อซอฟท์แวร์ที่สามารถเปลี่ยนคำพูดเป็นตัวหนังสือได้
- เลือกใช้ลูกบอลที่มีสีสันสดใสตอนเล่นเกมส์
ปัญหาการมองเห็นมีความเกี่ยวข้องกับโรคผิวเผือก ซึ่งปัญหานี้มีแนวโน้มแย่ลงเมื่อเกิดขึ้นกับเด็กทารกเกิดใหม่และเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วกับเด็กทารกที่มีอายุตั้งแต่ 1-6 เดือน อย่างไรก็ตามปัญหาเกี่ยวกับตาที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในระยะยาว
สาเหตุผิวเผือก
โรคผิวเผือกเกิดจากการกลายพันธุ์ของยีน โดย 1 ใน 70 คนมียีนโรคผิวเผือกอยู่
ซึ่งโรคผิวเผือกทำให้เกิดการผลิตเมลาโทนินลดลงที่ผิวหนังและม่านตา
โดยส่วนมากมักเกิดจากการกลายพันธุ์ของที่ทำให้เกิดการทำงานผิดปกติของเอนไซม์ tyrosinase หรือเรียกว่า (tyrosine 3-monooxygenase)
เอนไซม์ที่ทำหน้าที่สังเคราะห์เม็ดสีเมลาโทนินจากกรดอะมิโนไทโรซิน
อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับลักษณะของการกลายพันธุ์ ซึ่งเมลาโทนินอาจผลิตช้าหรือหยุดผลิตไปเลย
เนื่องจากการผลิตเม็ดสีผิวเมลาโทนินเกิดการรบกวน จึงส่งผลทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็นเป็นปกติ เพราะเมลาโทนินมีหน้าที่สำคัญในการพัฒนาจอประสาทตาและเส้นทางเดินของเส้นประสาทตาที่ทำหน้าที่ส่งสัญญาณประสาทไปยังสมอง
การรักษาผิวเผือก
เนื่องจากโรคผิวเผือกเป็นโรคทางพันธุกรรมจึงไม่มีวิธีการรักษา
สำหรับการรักษามุ่งเน้นไปที่การรักษาอาการที่เกิดขึ้นและสังเกตุการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
ดังนั้นการรักษาและดูแลปัญหาที่เกิดขึ้นกับดวงตาจึงเป็นสิ่งสำคัญ
วิธีรักษาดวงตาได้แก่
- การสวมแว่นตา
- สวมใสเเว่นกันเเดดเพื่อป้องกันดวงตาจากแสงแดด
- ไปตรวจตาเป็นประจำ
สำหรับผู้ที่มีสีผิวเปลี่ยนแปลงไปควรทาครีมกันเเดดเพื่อปกป้องผิว
การผ่าตัดกล้ามเนื้อเปลือกตาสามารถช่วยลดอาการ “สั่น” เมื่อเกิดตากระตุกได้
การผ่าตัดสามารถช่วยบรรเทาอาการตาเหล่ได้และทำให้สังเกตุเห็นความผิดปกติของตาที่ไม่เท่ากันได้น้อยที่สุด แต่อย่างไรก็ตามการผ่าตัดไม่ได้ช่วยทำให้มองเห็นภาพได้ชัดมาขึ้นและผลลัพธ์การรักษามีความแตกต่างหลากหลายขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
ผู้ที่เป็นโรคผิวเผือกไม่ได้มีอาการรุนเเรงขึ้นตามอายุ สำหรับเด็กที่เป็นโรคผิวเผือกยังคงสามารถเข้ารับการศึกษาและได้รับการจ้างงานตามปกติ
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
- https://www.healthline.com/health/albinism
- https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/albinism/symptoms-causes/syc-20369184
- https://www.nhs.uk/conditions/albinism/
- https://kidshealth.org/en/teens/albinism.html
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก