ไข้อีดำอีแดง (Scarlet Fever) หรือ scarlatina เป็นความเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับผื่นสีชมพูขแดง ที่มีลักษณะเฉพาะ
ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นกับเด็ก บางครั้งหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้
ที่ผ่านมาโรคนี้เป็นโรคร้ายแรงในวัยเด็ก แต่ยาปฏิชีวนะสมัยใหม่ทำให้โรคนี้กลายเป็นโรคที่หายากและมีการอุบัติขึ้นน้อยลง
อย่างไรก็ตาม คงยังมีการระบาดใหญ่ๆ ที่มีนัยสำคัญให้เห็นเป็นครั้งคราว
เด็กอายุ 5 – 15 ปี มีความเสี่ยงต่อการเป็นไข้อีดำอีแดงมากกว่ากลุ่มอายุอื่น ๆ และประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ของคนที่เป็นโรคนี้ เป็นเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 10 ปี
ภาพรวม
ไข้อีดำอีแดงเกิดจากสารพิษที่แบคทีเรีย Streptococcus pyogenes (S. pyogenes)ปล่อยออกมาจาก ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคคออักเสบ
ผู้ป่วยส่วนน้อยที่ติดเชื้อ Strep เช่น คออักเสบ หรือโรคแผลพุพอง จะมีพัฒนาการของโรคไปเป็นไข้อีดำอีแดง
คำว่า scarlatina ถูกใช้แทนกันได้กับไข้อีดำอีแดง แต่ scarlatina มักหมายถึงรูปแบบที่เฉียบพลันน้อยกว่า
อาการไข้อีดำอีแดง
โดยทั่วไปจะปรากฏสัญญาณและอาการของโรคให้เห็นในช่วงประมาณ 1 – 4 วัน หลังการติดเชื้อครั้งแรก อาการเบื้องต้นของไข้อีดำอีแดงมักเป็นดังนี้
-
ตัวแดง เจ็บคอ บางครั้งจะพบสีขาวหรือเหลืองเป็นหย่อมๆ ตามตัว
-
มีไข้สูงประมาณ38.3 องศาเซลเซียส หรือสูงกว่านั้น ส่วนใหญ่จะมีอาการหนาวสั่น
หลังจากมีอาการตามที่กล่าวไว้แล้ว ประมาณ 12-48 ชั่วโมง จะมีผื่นเกิดขึ้นตามตัว
จากนั้น จ้ำแดงๆ จะปรากฏบนผิวหนัง และจะกลายเป็นผื่นสีชมพูอมแดงทำให้ดูเหมือนผิวไหม้ เมื่อสัมผัสจะรู้สึกหยาบเหมือนกระดาษทราย
ผื่นจะกระจายไปที่หู คอ ข้อศอก ต้นขาด้านในและขาหนีบ หน้าอก และส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย
โดยปกติแล้วจะไม่ปรากฏผื่นบนใบหน้า แต่แก้มของผู้ป่วยจะแดงและบริเวณรอบปากจะซีด
หากใช้แก้วกดลงบนผิวหนัง ผื่นจะเปลี่ยนเป็นสีขาว
หลังจากผ่านไปประมาณ 6 วันผื่นมักจะจางลง ในรายที่มีอาการไม่รุนแรง การมีผื่นอาจเป็นอาการเดียวที่พบ
อาจมีอาการอื่นๆ เกิดขึ้นร่วมด้วย เช่น
-
กลืนลำบาก
-
รู้สึกไม่สบาย
-
คัน
-
หลอดเลือดในรอยพับของร่างกายแตก เช่น รักแร้ ขาหนีบ ข้อศอก หัวเข่า และคอหรือที่เรียกว่าเส้นพาสเทีย (Pastia’s lines)
-
ต่อมคอหรือต่อมน้ำเหลืองบวม สัมผัสดูจะรู้สึกนุ่มๆ
-
ลิ้นมีเคลือบสีขาวและลอกออก ทำให้ลิ้นมีสีแดงและบวม เกิดภาวะ “ลิ้นสตรอเบอรี่” (strawberry” tongue)
หากมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง อาเจียน หรือท้องร่วง แพทย์จะทำการวินิจฉัยสาเหตุอื่น ๆ ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ เช่น อาการช็อกจากพิษ (TSS)
ผิวหนังของมือและเท้าจะลอกนานถึง 6 สัปดาห์หลังจากที่ผื่นหายไป
การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะในระยะเริ่มต้นสามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้
สาเหตุของไข้อีดำอีแดง
ไข้อีดำอีแดงเกิดจากแบคทีเรีย S. pyogenes หรือกลุ่ม A beta-hemolytic Streptococcus ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดคออักเสบ
เมื่อแบคทีเรียปล่อยสารพิษอาการไข้อีดำอีแดงก็จะเกิดขึ้น
โรคมีการแพร่กระจายได้อย่างไร
ไข้อีดำอีแดงส่งผ่านของเหลวจากปากและจมูก เมื่อคนที่เป็นไข้อีดำอีแดงไอหรือจามแบคทีเรียจะถูกส่งผ่านโดยละอองฝอยที่ออกมาจากการไอหรือจาม แล้วลอยอยู่ในอากาศ
คนอื่นๆ จะได้รับเชื้อโดยการสูดดมละอองฝอยเหล่านี้ หรือโดยการสัมผัสกับสิ่งที่ละอองฝอยเหล่านั้นตกลงไป เช่น มือจับประตู เป็นต้น จากนั้นคือการเอามือมาสัมผัสจมูกและปากของตนเอง
โรคไข้อีดำอีแดงสามารถแพร่เชื้อด้วยสัมผัสผิวหนังของผู้ที่ติดเชื้อสเตรปโตคอคคัสได้เช่นกัน การใช้ผ้าขนหนูอาบน้ำ เสื้อผ้า หรือผ้าปูที่นอนร่วมกับผู้ติดเชื้อจะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อมากขึ้น
ผู้ที่มีไข้ผื่นแดงที่ไม่ได้รับการรักษา อาจแพร่เชื้อให้กับคนอื่นได้นานหลายสัปดาห์แม้ว่าอาการจะหายไปแล้วก็ตาม
เฉพาะผู้ที่ตอบสนองต่อสารพิษเท่านั้นที่จะแสดงอาการของโรคออกมาให้เห็น ส่วนในผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อสารพิษ จะไม่แสดงอาการใดๆ แต่สามารถเป็นพาหะนำโรคและส่งต่อได้
ทำให้ยากที่บางคนที่เป็นโรคนี้จะรู้ตัวว่าตัวเองกำลังแพร่เชื้ออยู่
การติดเชื้อเกิดจากการสัมผัส หรือกินอาหารที่ปนเปื้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นม ได้น้อยมาก
แบคทีเรียสามารถแพร่กระจายได้ง่ายขึ้นในกลุ่มผู้ที่สัมผัสใกล้ชิด เช่น ที่โรงเรียน บ้านหรือที่ทำงาน.
การวินิจฉัย
แพทย์สามารถวินิจฉัยไข้อีดำอีแดงได้โดยวิเคราะห์จากสิ่งที่เห็นและอาการแสดงให้เห็น
ไม้ป้ายลำคอ อาจเป็นตัวช่วยให้แพทย์ตรวจหาแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ ซึ่งบางครั้งแพทย์อาจต้องสั่งให้ตรวจเลือดเพื่อประกอบการวินิจฉัยด้วย
การรักษาไข้อีดำอีแดง
ไข้อีดำอีแดงที่อาการไม่รุนแรงส่วนใหญ่จะหายได้เองภายในหนึ่งสัปดาห์โดยไม่ต้องรับการรักษา
อย่างไรก็ตามการรักษาเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากจะช่วยเร่งการฟื้นตัวและลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน
การรักษาโดยปกติจะใช้ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน 10 วัน ซึ่งมักเป็น เพนิซิลลิน
ไข้มักจะหายไปภายใน 12 – 24 ชั่วโมงหลังจากกินยาปฏิชีวนะครั้งแรก และผู้ป่วยจะหายเป็นปกติภายใน 4 – 5 วัน หลังจากเริ่มรักษา
ผู้ป่วยที่แพ้เพนิซิลลินอาจใช้ยา erythromycin หรือยาปฏิชีวนะชนิดอื่นแทนได้
สิ่งสำคัญคือจะต้องกินยาปฏิชีวนะให้ครบตามปริมาณที่กำหนด แม้ว่าอาการจะหายไปก่อนที่ยาจะหมดก็ตาม ถือเป็นสิ่งจำเป็นในการกำจัดการติดเชื้อและลดความเสี่ยงของการเกิดความผิดปกติจากโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย (post-strep disorder)
หากผู้ป่วยไม่รู้สึกดีขึ้นภายใน 24 – 48 ชั่วโมง หลังจากเริ่มการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะควรไปพบแพทย์เพื่อหาแนวทางรักษาต่อไป
24 ชั่วโมงหลังจากเริ่มใช้ยาปฏิชีวนะ ผู้ป่วยจะไม่แพร่เชื้ออีกต่อไป อย่างไรก็ตามควรอพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน และควรกินยาปฏิชีวนะให้ครบตามปริมาณที่กำหนด
การรักษาตัวที่บ้าน
ในขณะที่ทำการติดตามผลการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ยังมีแนวทางการรักษาอื่น ๆ ที่สามารถช่วยบรรเทาอาการได้อีก
การดื่มน้ำมากๆ ถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ป่วยไม่มีความอยากอาหาร และควรรักษาสภาพแวดล้อมให้เย็นอยู่เสมอ
หากมีอาการปวดเมื่อยหรือเป็นไข้ การกินยาไทลินอลหรืออะเซตามิโนเฟนอาจช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยและลดไข้ได้
โลชั่นคาลาไมน์จะช่วยลดอาการคันได้
ภาวะแทรกซ้อน
ส่วนใหญ่จะไม่พบภาวะแทรกซ้อน แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้ เช่น
- การติดเชื้อในหู รวมถึงหูชั้นกลางอักเสบ
- ปอดบวม
- ฝีในลำคอ
- ไซนัสอักเสบ
- การอักเสบของไตเนื่องจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อ strep bacteria และในระยะยาวอาจเป็นโรคไตได้
- ไข้รูมาติก
- การติดเชื้อที่ผิวหนัง
อาจจะมีภาวะแทรกซ้อนต่อไปนี้เกิดขึ้นได้ แต่น้อยมาก
-
ไตวายเฉียบพลัน
-
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ การอักเสบของเยื่อหุ้มสมองและไขสันหลัง
-
โรคแบคทีเรียกินเนื้อ หรือโรคเนื้อเน่า (necrotizing fasciitis) ซึ่งเป็นโรคกินเนื้อที่ร้ายแรง
-
โรคกลุ่มอาการท็อกสิกช็อค (TSS)
-
เยื่อบุหัวใจอักเสบ คือ การติดเชื้อที่เยื่อบุชั้นในของหัวใจ
-
การติดเชื้อของกระดูกและไขกระดูกหรือที่เรียกว่า osteomyelitis
ความเสี่ยงอีกประการหนึ่งของการเกิดโรคที่เกิดจากการติดเชื้อสเตร็ปโตคอคคัส (PANDAS) เรียกว่า ความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนวัติในเด็กอายุ 3-14 ปี
งานวิจัยบางชิ้นระบุว่าการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรป อาจเป็นตัวกระตุ้นโรคภูมิต้านทานเนื้อเยื่อตัวเองซึ่งเป็นโรคของความผิดปกติในวัยเด็กให้มีอาการรุนแรงขึ้น
รวมไปถึงโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) กลุ่มอาการทรูเร็ตต์ (Tourette syndrome) และโรคสมาธิสั้น (ADHD)
โดยทั่วไป อาการต่างๆ เหล่านี้จะหายไปหลังจากผ่านไป 2-3 สัปดาห์ หรือหลายเดือน
การป้องกัน
วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการแพร่กระจายของไข้อีดำอีแดงและโรคติดเชื้ออื่น ๆ ได้แก่
-
การแยกตัวจากผู้อื่น หรืออยู่ห่างจากผู้อื่น รวมถึงการไม่ไปโรงเรียนด้วย
-
ซักหรือทิ้งผ้าเช็ดหน้าหรือกระดาษทิชชูที่ใช้แล้วทันที และล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำอุ่นและสบู่
-
ล้างมือให้ถูกวิธีและบ่อยครั้งด้วยน้ำอุ่นและสบู่
-
ไม่ใช้แก้วน้ำหรือช้อนส้อมร่วมกัน
-
ปิดปากและจมูกเมื่อไอหรือจาม โดยใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือยกศอกปิดปากเวลาไอหรือจาม
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโรคไข้อีดำอีแดง
นี่คือประเด็นสำคัญบางประการเกี่ยวกับไข้ผื่นแดง โดยรายละเอียดเพิ่มเติมจะอยู่ในบทความหลัก
-
ไข้ผื่นแดงพบได้น้อยกว่าในอดีต แต่ยังคงมีการระบาดอยู่
-
แบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคคออักเสบ เป็นสาเหตุของไข้อีดำอีแดงด้วย
-
สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาปฏิชีวนะ
-
อาการเบื้องต้น คือ มีผื่น เจ็บคอ และมีไข้
นี่คือแหล่งที่มาของบทความของเรา
-
https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/scarlet-fever/symptoms-causes/syc-20377406
-
https://www.cdc.gov/groupastrep/diseases-public/scarlet-fever.html
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก