ภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว ( Transient Ischemic Attack (TIA) : อาการ สาเหตุ การรักษา

ภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว ( Transient Ischemic Attack (TIA) : อาการ สาเหตุ การรักษา

24.05
1452
0

ภาวะหลอดเลือดสมองขนาดเล็ก หรือภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว Transient ischemic attack (TIA)  เกิดขึ้นเมื่อเลือดไม่สามารถไปเลี้ยงสมองได้ชั่วคราว

มีเหตุการณ์หรือโรคหลายอย่างที่อาจเป็นสามารถทำให้สมองขาดออกซิเจน อาการของภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราวมีความคล้ายคลึงกับโรคหลอดเลือดสมอง แตกต่างตรงที่มักเกิดขึ้นไม่นานเท่าไร

 เพราะอาการที่จางหายไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ได้ไปขอความช่วยเหลือจากแพทย์ แต่อย่างไรก็ตามก็พบว่ามีผู้ป่วยภาวะTIA ราว 10-15 เปอร์เซ็นต์ต้องประสบกับโรคหลอดเลือดสมองเต็มรูปแบบภายใน 3 เดือน สิ่งนี้จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงควรจดจำสัญญานของภาวะ TIA ไว้ให้ดีและการไปพบแพทย์จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ

การประเมินแบบฉับไวและการรักษาผู้ป่วยที่เคยมีอาการโรคหลอดเลือดสมองขนาดเล็ก ทั้งสองอย่างนี้จะรวมกันอยู่ในคลีนิค TIA หรือในห้องฉุกเฉิน เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองที่ตามมาภายหลัง

โรค (TIA) คืออะไร 

ภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว (TIA) คือภาวะที่มีความเหมือนกับโรคหลอดเลือดสมองเนื่องจากมีอาการคล้ายคลึงกัน เพียงแต่ภาวะ (TIA) จะเกิดอาการขึ้นเพียงแค่สองสามนาทีเท่านั้น และมักไม่มำให้สมองเกิดความมเสียหายอย่างถาวร ซึ่งทำให้ในบางครั้งถึงเรียกภาวะนี้ว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมองขนาดเล็ก

สิ่งที่เกิดขึ้นคือเมื่อออกซิเจนไม่เลี้ยงสมองไม่เพียงพอ มักเกิดขึ้นเนื่องจากเกิดลิ่มเลือดหลงเหลืออยู่เพียงชั่วขณะ

เมื่อลิ่มเลือดนั้นสลายหรือเคลื่อนต่อไปได้ อาการก็จะบรรเทาลง 

สาเหตุของโรคสมองขาดเลือดชั่วคราว

ภาวะ TIA เกิดขึ้นเมื่อออกซิเจนที่มาเลี้ยงสมองถูกขัดขวาง

เลือดที่มาเลี้ยงถูกหยุดชะงัก

เส้นเลือดหลักๆ 2 เส้นที่เรียกว่า หลอดเลือดคาโรติดที่ทำหน้าที่นำเลือดไปเลี้ยงสมอง หลอดเลือดนี้จะแตกแขนงไปเป็นเส้นเลือดย่อยๆมากมาย ภาวะ TIA จะเกิดขึ้นหากหนึ่งในเส้นเลือดย่อยๆนี้ถูกอุดตันหรือถูกกีดกันไม่ให้เลือดไปเลี้ยงสมอง

โรคหลอดเลือดแดงแข็ง

โรคหลอดเลือดแดงแข็งมีาสาเหตุมาจากหลอดเลือดตีบแคบ เนื่องจากสารไขมันไปสะสมอยู่ที่เนื้อเยื่อชั้นในของหลอดเลือด และทำให้มันเริ่มแข็งตัว, หนาและขาดความยืดหยุ่น ซึ่งยิ่งทำให้การไหลเวียนของเลือดทั่วร่างกายเป็นไปได้ยาก

ลิ่มเลือด

ลิ่มเลือดสามารถทำให้ออกซิเจนที่ไปเลี้ยงสมองหยุดชะงักได้ ลิ่มเลือดมักเกิดมาจาก:

  • โรคที่เกี่ยวกับหัวใจ, เช่นโรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการแต่กำเนิด หรือภาวะหัวใจห้องบนเต้นพลิ้ว
  • ปัญหาเกี่ยวกับเลือด ที่รวมไปถึงโรคลูคีเมีย (มะเร็งเม็ดเลือดขาว) และโรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว 
  • การติดเชื้อ

ลิ่มเลือดขนาดเล็กคือ ลิ่มเลือดที่มาจากส่วนหนึ่งของร่างกายที่เริ่มหลุดออกมาและเดินทางเข้าไปในหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ลิ่มเลือดนี้สามารถทำให้เกิดภาวะ (TIA) ได้

การตกเลือด (การมีเลือดออกภายใน) 

ภาวะเลือดออกในสมองน้อย (จำนวนเลือดที่ออกในสมองในปริมาณเล็กน้อย) สามารถก่อให้เกิดภาวะ TIA ได้ แต่พบได้ไม่บ่อยนัก 

อาการต่างๆ

คนที่ประสบกับภาวะ (TIA) มักมีอาการที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับว่าส่งผลกับส่วนใดของสมอง

สัญญานและอาการต่างๆของภาวะ (TIA) คือแสดงเห็นจากตัวอักษรย่อ (FAST) (Face, Arms, Speech, Time):                

  • ใบหน้า คือใบหน้าอาจตกลงมาข้างหนึ่งเนื่องจากกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าเป็นอัมพาต ดวงตาหรือปากอาจห้อยลง และไม่สามารถยิ้มได้
  • แขน คือแขนขาอ่อนแรงหรือชา ซึ่งทำให้ยากที่จะยกแขนขาใดขาหนึ่งขึ้นหรือทั้งสองข้าง  
  • พูด การพูดอาจพูดไม่เป็นคำ อ้อแอ้และไม่สามารถเข้าใจได้ 
  • เวลา หากแม้ว่าพบเพียงแค่หนึ่งอาการข้างต้น ควรรีบโทรเรียกฉุกเฉินในทันที 

เมื่อสามารถระบุสัญญานและอาการของตัวแทน (FAST) แล้ว คือถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆหากคุณอาศํยอยู่กับคนที่มีความเสี่ยง เช่น คนสูงอายุ หรือคนที่มีระดับความดันโลหิตสูงหรือโรคเบาหวาน (FAST) คือตัวย้ำเตือนว่าหากได้ไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งมีโอกาสในการกลับมาฟื้นตัวได้ดีมากเท่านั้น

สัญญานและอาการอื่นๆของภาวะ (TIA) คือ:

  • มึนงง
  • มีปัญหาในการพูด
  • มีความยุ่งยากในการทำความเข้าใจในสิ่งที่ผู้อื่นพูด
  • มีปัญหาการกลืน
  • ปวดศีรษะอย่างรุนแรง
  • เป็นอัมพาต,เหน็บชา, หรืออ่อนแรงข้างใดข้างหนึ่งของร่างกาย
  • ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจหมดสติ

หากพบสัญญานและมีอาการต่างๆดังที่กล่าวไว้หรือหากพบเจอใครที่มีอาการ ควรรีบพบแพทย์ทันที อาการของภาวะ TIA เป็นอาการที่เกิดชั่วคราวและควรหายไปภายใน 24 ชั่วโมง อาการจะอยู่ไม่เกิน 2-15 นาที

โรคที่เลียนแบบภาวะ TIA คือโรคอะไรได้บ้าง?

ต้องยอมรับว่าภาวะ (TIA) นั้นสามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ โดยเฉพาะเมื่อโรคอื่นๆนั้นมามีอาการและส่งผลต่อร่างกายที่เหมือนกัน เช่น

  • ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ
  • ไมเกรน
  • อาการชัก

แนวทางในการตัดโรคอื่นๆออกคือหากมีภาวะ (TIA) ตามปกติแล้วนั้นอาการที่เกิดมักส่งผลกระทบอย่างหนักกับร่างกายเพียงส่วนเดียว เช่นส่งผลต่อความรู้สึกและการเคลื่อนไหวในแขนขาหรือการมองเพียงข้างเดียว ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากเกิดการอุดตันในเส้นเลือดเส้นเดียว แต่กับโรคอื่นๆที่เหมือนภาวะ (TIA) จะเกิดอาการทางระบบประสาทไปทั่วร่างกาย เช่น ความรู้สึกซ่าหรือหน้ามืด

เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ภาวะ TIA พัฒนาโรคต่อสู่โรดหลอดเลือดสมองเต็มรูปแบบ จึงจำเป็นต้องตรวจเช็คทุกๆอาการของภาวะ 

ปัจจับความเสี่ยง

ปัจจัยความเสี่ยงของภาวะ (TIA) บางอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงได้ บางอย่างก็ไม่สามารถเปลี่ยนได้

ปัจจัยความเสี่ยงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เช่น:

  • ประวัติครอบครัว: คนที่มีญาติใกล้ชิดเคยเป็นโรคหลอดเลือดสมองหรือภาวะ (TIA) 
  • อายุ: คนที่มีอายุเกินกว่า 55 ปีขึ้นไปเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะ (TIA) ทั้งสิ้น
  • เพศ: เพศชายมีโอการเสี่ยงเป็นภาวะนี้ได้สูงกว่าเล็กน้อย
  • ชาติพันธุ์: คนเชื้อชาติคนผิวดำแอฟริกันมีความเสี่ยงสูงกว่าคนเชื้อชาติอื่นๆ

ปัจจัยเสี่ยงที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้:

  • โรคความดันโลหิตสูง
  • โรคหัวใจและหลอดเลือด: คนที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดจะมีความเสี่ยงสูงในการเกิดภาวะ TIA ซึ่งรวมไปถึงความผิดปกติของหัวใจ, หัวใจล้มเหลว, หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ 
  • โรคหลอดเลือดแดงคาโรติด: เป็นโรคที่เกิดขึ้นเมื่อเส้นเลือดบริเวณคอที่นำเลือดไปสู่สมองมีการอุดตัน
  • โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน (PAD): คือภาวะที่หลอดเลือดที่ทำหน้าที่ลำเลียงเลือดไปเลี้ยงแขนและขาเกิดการอุดตัน
  • การสูบบุหรี่: คนที่สูบบุหรี่ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคและปัญหาอีกมากมาย ซึ่งรวมไปถึงภาวะ (TIA) และโรคหลอดเลือดสมอง
  • รูปแบบการใช้ชีวิตเนือยนิ่ง: คนที่ไม่ค่อยมีกิจกรรมทางร่างกายจะมีความเสี่ยงสูง
  • โรคเบาหวาน: คนที่เป็นโรคเบาหวานคือคนที่มีแนวโน้มว่าจะต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคหลอดเลือดแดงแข็ง (ภาวะหลอดเลือดแคบเนื่องจากสารไขมันสะสมอุดตัน)
  • พฤติกรรมการบริโภคที่แย่: คนที่บริโภคอาหารไขมันเลวหรือเกลือมากเกินไปมีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองและภาวะ (TIA)  
  • ระดับคอลเลสเตอรอลในเลือด: หากมีระดับคอลเลสเตอรอลในเลือดสูงจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะ (TIA) หรือโรคหลอดเลือดสมอง
  • ระดับโฮโมซิสเตอีนสูง: โฮโมซิสเตอีนคือกรดอะมิโนที่เกิดขึ้นในร่างกายเมื่อมีการบริโภคอาหารประเภทเนื้อ เมื่อมีระดับโฮโมซิสเตอีนในเลือดสูงสามารถทำให้หลอดเลือดมีความหนาขึ้นและมีแผลเป็น ซึ่งยิ่งทำให้ง่ายต่อการอุดตันมากขึ้น
  • น้ำหนักตัว: คนที่เป็นโรคอ้วนมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะ (TIA) หรือ โรคหลอดเลือดสมอง
  • แอลกอฮอล์: คนที่ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเป็นประจำมีความเสี่ยงสูง
  • ยาเสพติด: คนที่ใช้ยาเสพติด เช่น โคเคน อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองหรือ (TIA) ได้หากมีการใช้ยาบ่อย

Transient Ischemic Attack

การรักษาภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว

การรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุที่มำให้เกิดภาวะ TIA แพทย์อาจสั่งยาเพื่อไปช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือด หรืออาจแนะนำให้ทำการผ่าตัดหรือการทำบอลลูนหลอดเลือดหัวใจ

ยารักษาภาวะ (TIA)     

รูปแบบยาที่สั่งจ่ายจะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิด (TIA) และความรุนแรงของโรค รวมถึงว่าโรคนี้ส่งผลกระทบต่อส่วนใดของสมอง

ยาต้านเกล็ดเลือด: ยาจะทำให้เกล็ดเลือดในเลือดไม่เกาะกลุ่มกันและเป็นลิ่ม ซึ่งสามารถไปขัดขวางการไหลเวียนของเลือด ยาต้านเกล็ดเลือดเช่น:

ยาแอสไพรินและยาไดไพริดาโมล: แพทย์บางท่านอาจสั่งยาแอกกรีน็อก ซึ่งเป็นยาที่รวมยาแอสไพรินและยาไดไพริดาโมลไว้ด้วยกัน แพทย์บางท่านอาจสั่งยาทิโคลพิดีน (Ticlid)      

ผลข้างเคียงของยาแอสไพรินคือ:

  • อาหารไม่ย่อย
  • คลื่นไส้
  • มีเสียงในหู
  • กระเพาะอาหารเกิดอาการระคายเคืองและมีเลือดออก

ผลข้างเคียงของยาไดไพริดาโมลคือ:

ยาโคลพิโดเกรล: หากยาแอสไพรินมีผลข้างเคียงที่รุนแรง, หรือมีการใช้ยาเพื่อรักษาโรคหัวใจ แพทย์อาจสั่งยาโคลพิโดเกรล (Plavix) แทน      

ผลข้างเคียงของยาโคลพิโดเกรลคือ:

  • ปวดท้อง
  • มีเลือดออก
  • มีรอยฟกช้ำ
  • ท้องเสีย
  • อาหารไม่ย่อย

ยาต้านการแข็งตัวของเลือด: ยาชนิดนี้มีไว้ใช้กับโรคอื่นๆอีกหลายโรค, ยาที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป,และยาสมุนไพร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยา

ยาต้านการแข็งตัวของเลือดเช่น:

ยาวาร์ฟาริน (Coumadin) และยาเฮพาริน: ยาวาร์ฟารินสามารถใช้ได้ในระยะยาว ในขณะที่ยาเฮพารินใช้ในระยะสั้น 

ผลข้างเคียงของยาวาร์ฟาริน: ผลข้างเคียงที่รุนแรงมากที่สุดของยาวาร์ฟารินคือการมีเลือดออก ผู้ป่วยที่ใช้ยาวาร์ฟารินที่มีอาการจากผลข้างเคียงของยาควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันที:

ผลข้างเคียงอื่นๆเช่น:

  • มีเลือดในปัสสาวะ
  • มีเลือดในอุจจาระ (อาจเป็นจุดเลือดหรืออุจจาระเป็นสีดำ)
  • มีรอยฟกช้ำที่รุนแรง
  • มีเลือดกำเดาไหลนานกว่า 10 นาที 
  • อาเจียนเป็นเลือด
  • ไอเป็นเลือด
  • ปวดศีรษะโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • มีเลือดออกจากช่องคลอด
  • มีประจำเดือนเพิ่มขึ้นหรือมีเลือดออกมาก

ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง: มียารักษาความดันโลหิตมากมายหลายชนิด แต่อย่างไรก็ตาม หากเป็นคนที่ไม่แข็งแรงและมีน้ำหนักเกิน ความดันโลหิตสามารถลดลงได้โดยการลดน้ำหนัก, ออกกำลังกาย,และพักผ่อนอย่างน้อย 7 ชั่วโมงทุกคืน และรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพให้มีความสมดุล

ยารักษาเรื่องคอเรสเตอรอล: ยาคอเรสเตอรอล  เช่นเดียวกับโรคความดันโลหิตสูง การลดน้ำหนัก,การรับประทานอาหารที่ดีและสมดุล, ออกกำลังกายและการนอนหลับพักผ่อนอย่างน้อย 7 ชั่วโมงทุกคืนก็สามารถทำให้ระดับคอเรสเตอรอลกลับคืนสู่สภาวะปกติได้ บางครั้งการใช้ยาอาจมีความจำเป็นและบางรายแพทย์อาจสั่งจ่ายยาลดไขมันในกลุ่ม statin ซึ่งนำมาใช้เพื่อช่วยลดคอเรสเตอรอล

การผ่าตัด

การผ่าตัดที่เรียกว่าการผ่าตัดเปิดหลอดเลือดแดงใหญ่ที่คอคือ การผ่านำเอาเนื้อเยื่อของหลอดเลือดแดงคาโรคติดส่วนที่เสียหายออกไป รวมถึงส่วนอุดตันที่สะสมในหลอดเลือดด้วย

การผ่าตัดนี้อาจไม่ได้เหมาะสมสำหรับคนที่หลอดเลือดมีการตีบตันจนเกือบหมด รวมถึงคนที่มีการตีบตันบางส่วนก็อาจไม่เหมาะสมในการผ่าตัดเพราะจะเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดสมองในระหว่างผ่าตัด

การวินิจฉัย

ทุกคนที่มีสัญญานและอาการของภาวะ (TIA) ควรพบแพทย์โดยด่วน เนื่องด้วยภาวะ (TIA) นั้นอยู่ไม่นานจึงอาจเป็นไปได้ว่าอาการอาจหายไปเสียก่อนที่จะไปพบแพทย์ได้ทั

แพทย์อาจมีความจำเป็นต้องตรวจระบบประสาท แม้อาการจะหายไปแล้วก็ตาม ซึ่งอาจตรวจเช็คเรื่องทักษะร่วมด้วย เช่นเรื่องความทรงจำและการให้ความร่วมมือ

ในขณะตรวจ แพทย์อาจซักถามคนไข้เกี่ยวกับอาการเช่น:

  • เป็นครั้งล่าสุดนานเท่าไร?
  • รู้สึกอย่างไร?
  • อาการที่ส่งผลกระทบเป็นอย่างไรบ้าง?

คำตอบที่ได้จะช่วยให้แพทย์สามารถตัดโรคอื่นๆที่อาจมีอาการเหมือนกันออกไป

หากแพทย์เชื่อว่าผู้ป่วยมีภาวะของTIA แพทย์อาจส่งตัวผู้ป่วยไปตรวจเพิ่มเติมกับแพทย์ด้านระบบประสาท แพทย์ผู้เชี่ยวชาญอาจสั่งตรวจเพิ่มเติมเพื่อระบุปัจจัยที่เป็นสาเหตุของภาวะ (TIA)                   

การตรวจมีดังต่อไปนี้:

  • ตรวจเลือด: การตรวจเลือดเพื่อเช็คระดับความดันเลือด, ระดับคอเรสเตอรอลและความสามารถในการแข็งตัว
  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) :เป็นการบันทึกกระแสไฟฟ้าและจังหวะการเต้นของหัวใจ
  • การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง: เป็นการสแกนด้วยอัลตราซาวน์เพื่อตรวจเช็คการบีบตัวของหัวใจ
  • การเอกซเรย์ทรวงอก:เพื่อช่วยให้แพทย์ตัดโรคอื่นๆออกไปได้
  • การทำซีทีสแกน: เป็นการสแกนสร้างภาพแบบสามมิติที่สามารถแสดงให้เห็นผนังหลอดเลือดแดงโป่งพอง, เลือดออก,หรือเส้นเลือดภายในสมองผิดปกติ
  • การสแกนเอ็มอาร์ไอ: การสแกนเอ็มอาร์ไอจะทำให้เห็นภาพของสมองที่มีรายละเอียดมากกว่าซีทีสแกน และยังช่วยระบุส่วนที่เสียหายของสมองได้
  • การอัลตราซาวน์:เพียงแค่โบกไม้เหนือหลอดเลือดแดงคาโรติดที่บริเวณคอก็สามารถสร้างภาพที่แสดงให้เห็นการตีบตันหรือการแข็งตัวได้แล้ว

การป้องกัน

วิธีต่อไปนี้สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะ (TIA) ,โรคหลอดเลือดสมอง,หรือการกลับมาเกิดซ้ำของภาวะ (TIA):

  • การเลิกบุหรี่สามารถลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง, (TIA), และโรคอื่นๆ
  • รับประทานอาหารให้มีความสมดุล ด้วยการรับประทานผักและผลไม้มากๆ, โฮลเกรน, ปลา, เนื้อไก่,และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน หลีกเลี่ยงอาหารขยะและอาหารที่เต็มไปด้วยไขมันที่ไม่ดีเช่นกรดไขมันอิ่มตัวก็สามารถช่วยได้
  • ลดปริมาณการบริโภคเกลือ (โซเดียม)  คนที่มีแนวโน้มจะเป็นความดันโลหิตสูงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่เต็มไปด้วยเกลือ และไม่ควรเติมเกลือใส่อาหารที่ทำหรือปรุงเอง
  • ควรออกกำลังกายระดับปานกลางอย่างน้อย 30 นาที 5ครั้งต่อสัปดาห์ แต่อย่างไรก็ตามผู้ป่วยควรลองปรึกษาแพทย์ก่อนการเริ่มต้นเข้าโปรแกรมการออกกำลังกาย
  • ลดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ลง  อาจไม่ดื่มเลยหรืออาจดื่มในปริมาณที่จำกัดตามคำแนะนำ
  • การลดน้ำหนักและการทำให้ตัวเองมีน้ำหนักลดลงสู่ระดับปกติจะช่วยลดความเสี่ยงได้
  • การใช้ยาเสพติด เช่นโคเคน จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองและภาวะ (TIA)   
  • ควบคุมโรคเบาหวานด้วยการรับประทานยาที่มีความเหมาะสมและเคร่งครัดตามแผนการรักษาเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและภาวะ (TIA) 
  • ควรนอนอย่างมีคุณภาพอย่างต่ำวันละ 7 ชั่วโมง และควรเข้านอนตรงเวลาเป็นประจำทุกวัน

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ (TIA)   

  • โรดหลอดเลือดขนาดเล็กเกิดขึ้นเมื่อเลือดที่ไปเลี้ยงสมองถูกตัดขาดลงชั่วคราว
  • มีชาวอเมริกันราว 500,000 รายมีภาวะโรคหลอดเลือดสมองในแต่ละปี ๆ  
  • การได้รับการรักษาแบบฉับไวคือสิ่งจำเป็นเพื่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคหลอดเลือดสมองให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด
  • เป้าหมายหลักของการรักษาภาวะ TIA คือการป้องกันการเกิดเหตุการณ์ขึ้นอีกในอนาคต
  • หนึ่งในยาที่นิยมนำมาใช้ในการป้องกันภาวะ TIA คือ ยาวาร์ฟาริน เป็นยาต้านการแข็งตัวของเลือด

นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา

Комментарии (0)

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *