โรคม้ามโต (Splenomegaly) เป็นภาวะที่ม้ามมีขนาดใหญ่กว่า 20 ซม. (7.9 นิ้ว) หรือมีน้ำหนักมากกว่า 1,000 กรัม (2.2 ปอนด์)
ม้ามทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกัน หน้าที่ของม้ามคือการกรองเลือด ภาวะม้ามโตเกิดขึ้นเมื่อม้ามขยายขนาดขึ้นหรือมีน้ำหนักมากขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพจะถือว่า การมีภาวะม้ามโตนั้น ม้ามจะต้องมีขนาดตั้งแต่ 12 ถึง 20 เซนติเมตร (ซม.) (4.7 ถึง 7.9 นิ้ว ) และมีน้ำหนักมากกว่า 400 กรัม (กรัม) (0.88 ปอนด์)
สาเหตุของโรคม้ามโต
การตรวจวินิฉัยด้วยการตรวจวินิจฉัยด้วยภาพถ่ายช่วยระบุได้ว่า เกิดภาวะม้ามโตหรือไม่
โดยสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของภาวะม้ามโต ได้แก่ :
-
มีความผิดปกติเกี่ยวกับเลือด: ภาวะหรือโรคต่าง ๆ เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือภาวะไขกระดูกมีความผิดปกติ อาจทำให้เซลล์มะเร็งรุกรามไปถึงม้าม และเกิดโรคต่าง ๆ เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้ขนาดของม้ามขยายใหญ่ขึ้นได้ ประมาณ 64% ของผู้ป่วยภาวะม้ามโตที่ขยายขนาดใหญ่ขึ้นเกิดจากความผิดปกติของเลือด
-
มีโรคตับ: โรคตับ เช่น โรคตับแข็ง หรือตับอักเสบ ทำให้เลือดดำไหลผ่านตับเข้าสู่หัวใจไม่สะดวกและความดันของหลอดเลือดดำย้อนกลับไปที่ม้ามเพิ่มขึ้นทำให้ม้ามโตและขยายขนาดขึ้นเรื่อย ๆ ภาวะตับและม้ามขยายเกิดขึ้นเมื่อเกิดการขยายตัวและการบวมช้ำของตับและม้าม
-
มีภาวะม้ามติดเชื้อ: เนื่องจากม้ามเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้น การติดเชื้อ เช่น เชื้อโมโนนิวคลีโอซิส เชื้อวัณโรค เยื่อบุหัวใจอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย หรือเอชไอวี อาจทำให้ม้ามขยายตัวได้
สาเหตุของภาวะม้ามโตที่พบได้น้อย ได้แก่ :
-
มีความผิดปกติของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน รวมถึง โรคที่มีการอักเสบและมีการทำลายเนื้อเยื่อหลายอวัยวะ เช่น ผิวหนัง ไต ข้อ หัวใจ และโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
-
ความผิดปกติที่มีส่วนประกอบของเลือดในระดับต่ำหรือลดลง เช่น ภาวะเม็ดเลือดแดงแตกจากภูมิตัวเอง หรือโรคที่มีเกล็ดเลือดต่ำซึ่งเป็นผลมาจากร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อต้านเกล็ดเลือด
-
โรคที่มีการแทรกซึมของเนื้อเยื่อ เช่น โรคที่เกิดจากการมีสารแอมีลอยด์ (Amyloid) เข้าไปสะสมตามเนื้อเยื่ออวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย หรือ โรคที่เกี่ยวข้องกับการสะสมที่ผิดปกติของเซลล์ที่อักเสบ
-
ภาวะของเหลวคั่งในม้าม รวมถึง ภาวะหัวใจล้มเหลว และภาวะความดันสูงในระบบหลอดเลือดดำของตับ
-
ภาวะแทรกซ้อนโรคเคียวเซลล์ (Sickle Cell Anemia) ซึ่งรวมถึง ภาวะอื่น ๆ ด้วย เช่น โรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว และโรคโลหิตจางชนิดเม็ดเลือดแตก
-
ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ เช่น ภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดดำในตับหรือพอร์ทัล
-
ภาวะที่พบได้ยาก รวมถึง โรคบานติ (Bantis Syndrome) ที่เชื่อมโยงกับม้ามโต โลหิตจาง ตับแข็ง และภาวะผิดตำแหน่งของม้าม
หากไม่มองถึงสาเหตุแล้ว ภาวะม้ามโตเป็นภาวะที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ทั้งนี้ ประชากรประมาณ 2% เกิดภาวะม้ามโต ซึ่งอาจจะเป็นช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิตก็ได้
ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงเป็นภาวะม้ามโตน้อยกว่าคนในวัยอื่นเล็กน้อย เนื่องจากส่วนหุ้มภายนอกของม้ามจะบางลงและมีขนาดเล็กลงตามอายุ
อาการของโรคม้ามโต
ผู้ป่วยภาวะม้ามโตอาจไม่มีอาการใด ๆ เลย ทั้งนี้ หากมีอาการม้ามโตเกิดขึ้น ก็อาจจะมีเช่น:
-
มีอาการท้องอืด
-
รู้สึกอิ่มเร็วแม้รับประทานอาหารเพียงเล็กน้อย
-
มีการติดเชื้อบ่อยครั้ง
-
มีโรคโลหิตจาง
-
มีอาการเมื่อยล้า
-
รู้สึกเจ็บหรือปวดรอบ ๆ ซี่โครงด้านซ้าย
-
มีเลือดออกง่าย
อย่างไรก็ตาม อาการของภาวะม้ามโตมักเกิดขึ้นจากสาเหตุที่มีอยู่ก่อนหน้าแล้ว ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยภาวะม้ามโตมักมีมะเร็งอยู่ก่อนแล้ว โดยมักจะ:
-
มีเหงื่อออกเวลานอนกลางคืน
-
น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
-
รู้สึกเหนื่อยง่าย
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีภาวะม้ามโตที่มีการติดเชื้ออาจมีอาการแตกต่างกันอย่างมาก ได้แก่:
-
มีไข้
-
รู้สึกเหมือนไม่สบาย
-
รู้สึกหนาวสั่น
ในขณะเดียวกัน ผู้ที่มีภาวะม้ามโตโดยมีโรคเกี่ยวกับเลือดอาจมีอาการต่างๆ ได้แก่ :
-
มีเลือดออกง่าย
-
มีรอยช้ำง่าย
-
วิงเวียนศีรษะ
-
หายใจหอบถี่
แพทย์จะวินิจฉัยอาการของผู้ป่วยที่มีภาวะม้ามโต ไปพร้อม ๆ กับโรคอื่น ๆ ที่มีอยู่ก่อนหน้าด้วย
ทั้งนี้ ในเคสส่วนใหญ่แล้ว ผู้ที่มีภาวะม้ามโตจะไม่รู้สึกหรือสังเกตว่าตัวเองมีม้ามโต เว้นเสียแต่ว่า แพทย์จะตรวจเจอว่า ม้ามขยายขนาดขึ้นบริเวณชายโครงด้านซ้าย
การวินิจฉัยโรคม้ามโต
ในการวินิจฉัยภาวะม้ามโต แพทย์จะซักประวัติผู้ป่วยโดยเฉพาะให้ผู้ป่วยได้บอกอาการต่าง ๆ ที่มี นอกจากนี้ แพทย์ยังต้องทำการตรวจร่างกายเพื่อดูว่า ผู้ป่วยมีภาวะม้ามโตหรือไม่
แพทย์ที่สงสัยว่า ผู้ป่วยอาจมีภาวะม้ามโตจะแนะนำให้ผู้ป่วยเข้ารับการตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจวินิฉัยด้วยภาพถ่าย และนอกจากนี้ แพทย์ยังจะใช้การตรวจอื่น ๆ อีก เช่น :
-
การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด: ซึ่งรวมถึงการตรวจวัดระดับเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือด ทั้งนี้ จำนวนของเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือดต่ำอาจบ่งบอกว่า ผู้ป่วยอาจมีภาวะม้ามโต
-
การตรวจวินิฉัยด้วยภาพถ่าย: โดยปกติ การตรวจวินิฉัยด้วยภาพถ่ายจะรวมถึง การตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์และการตรวจอัลตราซาวนด์
-
การตรวจการทำงานของตับ: การมีเอนไซม์ตับในระดับที่สูง เช่น เอนไซม์แอสพาร์เตตอะมิโนทรานส์เฟอเรส (AST) และเอนไซม์อะลานีนอะมิโนทรานสเฟอเรส (ALT) อาจบ่งว่า ผู้ป่วยอาจมีภาวะม้ามโต
ทั้งนี้ การตรวจที่แพทย์แนะนำอาจขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรคที่มีมาก่อนหน้าแล้ว
การรักษาภาวะม้ามโต
เนื่องจากโรคอื่น ๆ มีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดภาวะม้ามโต การรักษามักจะเริ่มด้วยการรักษาภาวะของโรคที่มีมาก่อนหน้าเสียก่อน ตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีภาวะม้ามโตเนื่องจากโรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียวจะต้องได้รับการถ่ายเลือดหรือการเปลี่ยนถ่ายเลือด
ในบางกรณี เช่น ม้ามแตกหรือมะเร็งม้าม ศัลยแพทย์อาจต้องผ่าตัดเอาม้ามออก หรือเรียกว่า การผ่าตัดม้าม โดยปกติแล้ว คนเรายังสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องมีม้าม เช่นเดียวกับไม่ต้องมีถุงน้ำดีหรือไส้ติ่งก็ได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากม้ามมีเลือดมาหล่อเลี้ยงจำนวนมาก การผ่าตัดจึงต้องระวังเพราะมีความเสี่ยงสูง เพราะอาจให้เกิดเลือดออกมากเกินไปได้
ในขณะที่อยู่ระหว่างการรักษาภาวะที่มีมาก่อนหน้า ผู้ป่วยควรระมัดระวังไม่ให้เกิดการบาดเจ็บที่ช่องท้อง การบาดเจ็บที่ม้ามที่มีขนาดโตขึ้นอาจทำให้ม้ามแตกได้ง่าย ซึ่งอาจทำให้เกิดการตกเลือดที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยที่มีภาวะม้ามโตควรหลีกเลี่ยงการเล่นกีฬาที่มีโอกาสเกิดการการกระแทกเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดการบาดเจ็บ
ภาวะแทรกซ้อนของโรคม้ามโต
ภาวะม้ามโตอาจเกิดภาวะม้ามแตกได้ ซึ่งผู้ป่วยภาวะม้ามแตกจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด และมักจะต้องถ่ายเลือดเพื่อให้ระดับเลือดกลับมาอยู่ในภาวะปกติ
หากผู้ป่วยต้องผ่าตัดเอาม้ามออก ผู้ป่วยจะมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดการติดเชื้อบางประเภทได้ เช่น โรคติดเชื้อนิวโมคอกคัส และติดเชื้อแบคทีเรียไนซีเรีย เมนิงไจทิดิส ที่ทำให้เกิดโรคไข้กาฬหลังแอ่นได้
ม้ามมักมีเซลล์ภูมิคุ้มกันที่สามารถช่วยต่อสู้กับโรคเหล่านี้ได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดเอาม้ามออกอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะที่แรงขึ้นเพื่อต้านการติดเชื้อ เมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ไม่ได้เข้ารับการผ่าตัด
เมื่อไรที่ผู้ป่วยภาวะม้ามโตต้องพบแพทย์
ผู้ป่วยที่มีภาวะม้ามโตควรพบแพทย์ทันที หากมีอาการใด ๆ ที่บ่งบอกถึง ภาวะม้ามโต เช่น อาการของโรคในช่องท้องที่ไม่ทราบสาเหตุ รวมถึงอาการบวมช้ำ ปวด หรือเบื่ออาหาร หรือรู้สึกมีอาการต่าง ๆ ในม้ามบริเวณด้านซ้ายของลำตัว
หากผู้ป่วยที่มีภาวะอื่นที่อาจทำให้เกิดภาวะม้ามโตอยู่แล้ว ควรเข้าใจภาวะของโรคที่ตัวเองมีและปรึกษาแพทย์หากมีอาการของโรคปรากฎขึ้นมา
ภาวะม้ามโตเป็นภาวะที่ไม่ได้พบบ่อย แต่หากมีแล้ว อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตหรืออาจทำให้เกิดม้ามแตกได้
ทั้งนี้ ภาวะม้ามโตอาจเกิดขึ้นได้จากภาวะของโรคต่าง ๆ ที่มีมาก่อนหน้า เช่น ความผิดปกติของเลือด ไปจนถึง มีโรคตับ
หากผู้ป่วยสงสัยว่ามีภาวะม้ามโต ควรพบแพทย์และดำเนินการเพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่ช่องท้องทันที
นี่คือที่มาในแหล่งบทความของเรา
-
https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/enlarged-spleen/symptoms-causes/syc-20354326
-
https://www.webmd.com/digestive-disorders/enlarged-spleen-causes-symptoms-and-treatments
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก