ภาวะปัสสาวะเล็ด (Urinary Incontinence) คือ การที่มีปัสสาวะเล็ดออกมาโดยไม่สามารถควบคุมได้ นั้นคือภาวะที่ถ่ายปัสสาวะออกมาในเวลาที่ไม่ได้ต้องการให้ออกมา การควบคุมกล้ามเนื้อหูรูดสูญเสียหรืออ่อนแอ
ภาวะปัสสาวะเล็ดคือปัญหาที่สามารถพบเจอได้ทั่วไปที่ส่งผลกระทบได้กับทุกๆคน
จากข้อมูลของ American Urological Association, พบ1 ใน 4 ถึง 1 ใน3 ของผู้ชายและผู้หญิงในสหรัฐอเมริกาต้องเคยพบเจอกับอาการปัสสาวะเล็ดมาก่อน
ภาวะปัสสาวะเล็ดมักเกิดขึ้นในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย เฉลี่ย 30 เปอร์เซ็นต์ของเพศหญิงที่มีอายุระหว่าง 30-60ปต้องทุกข์ทรมาณจากอาการดังกล่าว และมักเกิดเฉลี่ย 1.5-5 เปอร์เซ็นต์
ภาวะปัสสาวะเล็ดคือ?
ภาวะปัสสาวะเล็ด คิอภาวะที่ผู้ป่วยไม่สามารถกลั้นปัสสาวะไม่ให้ไหลออกมาได้
ซึ่งอาจเกิดขึ้นเนื่องจากแรงเค้น เช่น การไอ, ภาวะที่เกิดขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์และหลังการตั้งครรภ์และยังมีโรคอื่นๆที่อาจเป็นสาเหตุได้อีกเช่น โรคอ้วน
การบริหารการควบคุมกระเพาะปัสสาวะและกล้ามเนื้อเชิงกรานหรือการออกกำลังกายแบบคีเกล (ขมิบ) สามารถช่วยป้องกันหรือลดภาวะดังกล่าวได้
การรักษาปัสสาวะเล็ด
การรักษาขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆมากมายเช่น รูปแบบของการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่, อายุของผู้ป่วย, โรคประจำตัว, และสภาวะทางจิต
ภาวะปัสสาวะเล็ดจากแรงเค้น
การบริหารอุ้งเชิงกรานหรือที่เรียกว่าการออกกำลังกายแบบคีเกล จะช่วยทำให้กระเพาะหูรูดปัสสาวะและกล้ามเนื้อเชิงกรานมีความแข็งแรงมากขึ้น – กล้ามเนื้อนั้นก็จะช่วยควบคุมการกลั้นปัสสาวะได้
การฝึกกระเพาะปัสสาวะ
-
เทคนิคหน่วงเวลา: จุดประสงค์เพื่อควบคุมการถูกกระตุ้น ผู้ป่วยจะเรียนรู้วิธีการหน่วงเวลาไว้ยังไม่ไปปัสสาวะแม้จะอยากปัสสาวะแล้วก็ตามที
-
พยายามถ่ายปัสสาวะสองครั้ง: เมื่อเข้าห้องน้ำหนึ่งครั้งให้ถ่ายปัสสาวะครั้งแรก แล้วให้คอยอีกประมาณ 2 นาทีจากนั้นจึงค่อยพยายามถ่ายปัสสาวะออกอีกครั้ง
-
มีตารางการเข้าห้องน้ำ: ตั้งเวลาการเข้าห้องน้ำไว้ในแต่ละวัน ยกตัวอย่างเช่น ทุกๆ 2 ชั่วโมง
การฝึกกระเพาะปัสสาวะนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาควบคุมกระเพาะปัสสาวะได้ดีอีกครั้ง
การใช้ยารักษาภาวะปัสสาวะเล็ด
หากมีความจำเป็นต้องใช้ยา ตามปกติแล้วมักจะใช้ยาผสมผสานกับการนำเทคนิคต่างๆและการบริหารมารักษาร่วมกัน
ยาที่นำมาใช้ในการรักษาภาวะปัสสาวะเล็ดคือ:
-
ยาต้านอะเซเทิลโคลีน เพื่อช่วยทำให้กระเพาะปัสสาวะไม่บีบตัวไวเกินไปและอาจยังช่วยให้ผู้ป่วยสามารถทนต่อการกระตุ้นได้ดี
-
ยาเอสโตนเจนอาจทำให้เนื่อเยื่อท่อในปัสสาวะและบริเวณมดลูกแข็งแรงขึ้นและมีอาการน้อยลง
-
ยาอิมิพรามีน (Tofranil) คือ ยาต้านเศร้าชนิดไตรไซคลิก
อุปกรณ์ทางการแพทย์
ต่อไปนี้คืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ออกแบบมาเพื่อผู้หญิงโดยเฉพาะ
-
อุปกรณ์สวนใส่ท่อปัสสาวะ: ผู้หญิงจะสวนอุปกรณ์เข้าสู่ท่อปัสสาวะก่อนออกไปทำกิจกรรมและนำออกเมื่อต้องการจะปัสสาวะ
-
ห่วงพยุงในช่องคลอด: เป็นอุปกรณ์ห่วงแข็งที่ถูกสอดใส่เข้าไปในช่องคลอดและสวมใส่ไว้ตลอดทั้งวัน เพื่อช่วยพยุงกระเพาะปัสสาวะไว้และป้องกันการรั่วไหล
-
การบำบัดด้วยไฟฟ้าคลื่นความถี่วิทยุ: เนื่อเยื่อในระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่างจะรู้สึกร้อน เมื่อได้รับการบำบัดก็จะมีความกระชับมากขึ้นเป็นผลทำให้การควบคุมปัสสาวะก็จะดีขึ้นด้วย
-
การทำโบท็อก (โบทูลินัมท็อกซินเอ): ด้วยการฉีดเข้าสู่กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งสามารถช่วยยัยยั้งไม่ให้กระเพาะปัสสาวะทำงานมากเกินไป
-
ด้วยวิธี Bulking agents: ด้วยการฉีดเข้าสู่เนื้อเยื่อรอบๆท่อปัสสาวะ เพื่อช่วยให้ท่อปัสสาวะปิด
-
การกระตุ้นเส้นประสาทที่กระเบนเหน็บ: คือการฝังอุปกรณ์ใต้ผิวหนังบริเวณสะโพก สายไฟจะถูกต่อไปยังสมองที่วิ่งมาจากกระดูกไขสันหลังถึงกระเพาะปัสสาวะ สายไฟจะกระจายกระแสไฟฟ้าขั้วบวกไปยังสมองเพื่อช่วยในการควบคุมกระเพาะปัสสาวะ
การผ่าตัด
การผ่าตัดคือทางเลือกหนึ่งหากพบว่าการบำบัดอื่นๆไม่ได้ผล สตรีที่วางแผนจะมีบุตรควรปรึกษาแพทย์ในการรับการผ่าตัดก่อนการตัดสินใจ
-
การผ่าตัดแบบ : โดยใช้แผ่นใยตาข่ายสอดใส่เข้าไปที่ท่อปัสสาวะส่วนคอเพื่อช่วยพยุงท่อปัสสาวะและหยุดยั้งการไหลซึมของปัสสาวะ
-
การผ่าตัด Colposuspension: ด้วยการพยุงปัสสาวะส่วนคอเพื่อเป็นการช่วยบรรเทาภาวะปัสสาวะเล็ด
-
ใช้กล้ามเนื้อหูรูดเทียม: ใช้กล้ามเนื้อหูรูดเทียมหรือวาล์ว ด้วยการใส่เข้าไปเพื่อควบคุมการไหลของปัสสาวะจากกระเพาะปัสสาวะไปสู่ท่อปัสสาวะ
ทางเลือกอื่นๆ
การสวนปัสสาวะ: เป็นท่อที่ต่อออกมาจากกระเพาะปัสสาวะ ผ่านท่อปัสสาวะ และเอาออกจากร่างกายลงสู่ถุงเก็บปัสสาวะ
ใช้แผ่นดูดซับของเหลว: แผ่นดูกซับมามากมายหลายชนิด สามารถหาซื้อได้ร้านขายยาหรือตามซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป
สาเหตุของปัสสาวะเล็ด
สาเหตุและรูปแบบของการไม่สามารถควบคุมได้มักเกี่ยวข้องกัน
อาการไอจามปัสสาวะเล็ด
มีปัจจัยมาจาก:
-
ตั้งครรถ์และคลอดบุตร
-
สตรีวัยทอง ในขณะที่ฮอร์โมนเอสโตรเจนตกลงก็อาจทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแอลงได้
-
การผ่าตัดมดลูก และการผ่าตัดบางอย่าง
-
อายุ
-
โรคอ้วน
อาการปัสสาวะราด
สาเหตุของรูปแบบปัสสาวะราดเกิดขึ้นเพราะ:
-
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ, การอักเสบของเนื้อเยื่อของกระเพาะปัสสาวะ
-
โรคทางระบบประสาท เช่น โรคประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis), โรคหลอดเลือดสมอง, และโรคพาร์กินสัน
-
โรคต่อมลูกหมากโต ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้กระเพาะปัสสาวะหย่อน และท่อปัสสาวะก็เริ่มมีการระคายเคือง
อาการปัสสาวะเล็ดเมื่อกระเพาะปัสสาวะขยายเต็มที่แล้ว
เกิดขึ้นเมื่อกระเพาะปัสสาวะถูกขัดขวางหรือตีบตัน ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจาก:
-
โรคต่อมลูกหมากโต
-
มีเนื้องอกกดทับกับกระเพาะปัสสาวะ
-
นิ่วในทางเดินปัสสาวะ
-
มีการผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะ
การควบคุมไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
อาจเป็นผลมาจาก:
-
เกิดจากกายภาพที่เป็นมาตั้งแต่เกิด
-
กระดูกไขสันหลังได้รับบาดเจ็บที่เกิดผลต่อระบบส่งสัญญานของประสาทจากสมองสู่กระเพาะปัสสาวะ
-
มีแผลชอนทะลุที่เกิดขึ้นกับท่อหรือช่องระหว่างกระเพาะปัสสาวะและบริเวณใกล้เคียง ซึ่งมักเกิดขึ้นที่ มักเกิดขึ้นที่ช่องคลอด
สาเหตุอื่นๆ:
มีดังต่อไปนี้:
-
ยาบางชนิด โดยเฉพาะยาขับปัสสาวะ, กลุ่มยาลดความดันโลหิต, ยานอนหลับ, ยาระงับประสาทและยาคลายกล้ามเนื้อ
-
แอลกอฮอล์
-
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
รูปแบบ
รูปแบบของภาวะปัสสาวะเล็ดตามปกติแล้วมักเกี่ยวเนื่องมาจากสาเหตุที่มำให้เกิดภาวะดังกล่าว
เช่น:
-
อาการปัสสาวะเล็ดขณะไอ จาม: การที่ปัสสาวะไหลซึมออกมาขณะไอ, หัวเราะ, หรือทำกิจกรรมบางอย่างเช่นวิ่งหรือกระโดด
-
อาการปัสสาวะราด คือการเกิดขึ้นอย่างทันทีทันใดและไม่สามารถยับยั้งได้
-
อาการปัสสาวะเล็ดเพื่อกระเพาะปัสสาวะขยายเต็มที่: เกิดจากการที่กระเพาะปัสสาวะไม่สามารถกักเก็บได้จึงส่งผลให้เกิดการรั่วซึม
-
อาการปัสสาวะเล็ดอย่างสิ้นเชิง: กระเพาะปัสสาวะไม่สามารถเก็บน้ำปัสสาวะได้
-
อาการปัสสาวะเล็ดที่ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของทางเดินปัสสาวะ: การปัสสาวะเล็ดเพราะจากการไปเข้าห้องน้ำไม่ทัน, มีปัญหามาจากการเคลื่อนไหวบกพร่อง
-
อาการปัสสาวะเล็ดแบบรวมหลายๆรูปแบบ
อาการปัสสาวะเล็ด
อาการหลักๆคือปล่อยให้ปัสสาวะเล็ด (รั่วซึม) ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ การเกิดภาวะดังกล่าวจะเกิดขึ้นเมื่อไรหรืออย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับรูปแบบของภาวะปัสสาวะเล็ด
อาการปัสสาวะเล็ดขณะไอ จาม
เป็นภาวะปัสสาวะเล็ดชนิดที่พบเห็นได้บ่อยมากที่สุด โดยเฉพาะมักเกิดขึ้นกับเพศหญิงที่คลอดบุตรหรือกำลังเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน
รูปแบบนี้เกิดขึ้นมาจากแรงเค้นทางร่างกายมากกว่าทางด้านจิตใจ เมื่อกระเพาะปัสสาวะและกล้ามเนื้อทั้งหมดในระบบควบคุมปัสสาวะมีแรงเค้นอย่างรุนแรง ผู้ป่วยจะเกิดปัสสาวะเล็ดโดยไม่ได้ตั้งใจ
การกระทำต่อไปนี้อาจเป็นตัวกระตุ้นการเกิดอาการปัสสาวะเล็ดขณะไอ จาม:
-
ไอ จาม หรือหัวเราะ
-
ยกของหนัก
-
ออกกำลังกาย
อาการปัสสาวะราด
หรือที่รู้จักกันว่าการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่แบบรีเฟล็กซ์หรือภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน นี่คือรูปแบบที่พบบ่อยเป็นอันดับสอง ภาวะนี้มักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เป็นการหดตัวที่ผนังกล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ไปกระตุ้นให้ปัสสาวะเล็ดออกมาแบบไม่สามารถหยุดได้
เมื่อรู้สึกถูกกระตุ้นให้อยากปัสสาวะ ผู้ป่วยจะมีเวลาช่วงเวลาที่จะสามารถกลั้นไว้ได้เพียงแค่สั้นๆก่อนปัสสาวะจะไหลออกมา โดยไม่ว่าจะพยายามกลั้นด้วยวิธีใดก็ตาม
การกระตุ้นให้เกิดการปัสสาวะอาจมีสาเหตุมาจาก :
-
การเปลี่ยนท่าทีอย่างฉับพลัน
-
ได้ยินเสียงน้ำไหล
-
มีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะขณะถึงจุดสุดยอด
กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะอาจทำไปโดยไม่ได้ตั้งใจเพราะเกิดความเสียหายต่อเส้นประสาทของกระเพาะปัสสาวะ, ระบบประสาทหรือกล้ามเนื้อ
กระเพาะปัสสาวะเล็ดเมื่อกระเพาะปัสสาวะขยายเต็มที่
มักเกิดในเพศชายที่เป็นโรคเกี่ยวกับต่อมลูกหมากโต, กระเพาะปัสสาวะได้รับความเสียหาย, ท่อปัสสาวะถูกกีดขวาง ต่อมลูกหมากโตก็เป็นสาเหตุของการขัดขวางในกระเพาะปัสสาวะได้ด้วย
กระเพาะปัสสาวะไม่สามารถกักเก็บปัสสาวะได้มากเท่าที่ร่างกายสร้างมา, หรือกระเพาะปัสสาวะไม่มีที่ว่างมากพอ จึงเป็นสาเหตุทำให้มีปัสสาวะจำนวนเล็กๆไหลซึมออกมาได้
ผู้ป่วยจึงต้องการถ่ายปัสสาวะบ่อยๆและบางครั้งอาจมีอาการ “หกเรี่ยราด” หรือมีปัสสาวะหยดออกมาจากท่อปัสสาวะ
อาการไม่สามารถกลั้นแบบผสม
จะมีอาการทั้งแบบปัสสาวะเล็ดแบบไอจามและแบบปัสสาวะราดร่วมกัน
อาการปัสสาวะเล็ดที่ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของทางเดินปัสสาวะ
การเกิดจากรูปแบบนี้ผู้ป่วยมักจะทราบดีว่าตนเองต้องไปถ่ายปัสสาวะ แต่ไม่สามารถไปเข้าห้องน้ำให้ทันเวลาเนื่องจากมีปัญหาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว
สาเหตุทั่วๆไปที่ทำให้เกิดภาวะปัสสาวะเล็ดที่ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของทางเดินปัสสาวะ:
-
ความสับสน
-
โรคสมองเสื่อม Dementia
-
สายตามีปัญหาหรือไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
-
ความคล่องแคล่วบกพร่อง ทำให้ไม่สามารถปลดกระดุมกางเกงได้
-
เครียด, วิตกกังวล หรือโกรธก็สามารถนำไปสู่การปฏิเสธการเข้าห้องน้ำ
อาการปัสสาวะเล็ดแบบที่ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของทางเดินปัสสาวะคือ อาการที่พบได้แพร่หลายในผู้สูงอายุและอยู่ในสถานที่เลี้ยงดูคนชรา
อาการปัสสาวะแบบกลั้นไมได้อย่างสิ้นเชิง
ซึ่งนั่นย่อมหมายความว่าผู้ป่วยจะมีการไหลซึมของปัสสาวะอย่างต่อเนื่องหรือมีปัสสาวะไหลจำนวนมากที่ไม่สามารถควบคุมไว้ได้
ผู้ป่วยบางรายอาจมีปัญหามาตั้งแต่เกิด (เกิดมาพร้อมข้อบกพร่อง) อาจเป็นเพราะเกิดการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังหรือระบบขับถ่ายปัสสาวะ หรืออาจเกิดรู (แผลชอนทะลุ) ระหว่างกระเพาะปัสสาวะกับส่วนอื่นๆ ยกตัวอย่าง ในช่องคลอด
ปัจจัยเสี่ยง
ต่อไปนี้คือปัจจัยเสี่ยงให้เกิดภาวะปัสสาวะเล็ด:
-
โรคอ้วน: เป็นการไปเพิ่มแรงกดที่กระเพาะปัสสาวะและกล้ามเนื้อรอบๆ ทำให้เกิดการรั่่วไหลมากขึ้นเมื่อคนๆนั้นจามหรือไอ
-
การสูบบุหรี่: อาจทำให้เกิดโรคไอเรื้อรัง ซึ่งอาจส่งผลให้มีปัญหาในการกลั้นปัสสาวะ
-
เพศ: ผู้หญิงมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะปัสสาวะเล็ดมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีลูก
-
อายุเยอะ: กล้ามเนื้อในกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะอ่อนแอไปตามอา
-
โรคบางโรค: เช่นเบาหวาน ,โรคไต, กระดูกสันหลังได้รับบาดเจ็บและโรคเกี่ยวกับระบบประสาทจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงสูง
-
โรคต่อมลูกหมาก: ภาวะปัสสาวะเล็ดอาจเกิดขึ้นหลังจากมีการผ่าตัดต่อมลูกหมากหรือหลังการบำบัดด้วยรังสี
การวินิจฉัย
แนวทางในการวินิจฉัยภาวะปัสสาวะเล็ดคือ:
-
การบันทึก: ผู้ป่วยจะต้องจดบันทึกปริมาณการดื่มว่ามากน้อยแค่ไหน, ปริมาณปัสสาวะมีเท่าไรและจำนวนครั้งในการถ่ายปัสสาวะ
-
การตรวจร่างกาย: แพทย์จะทำการตรวจช่องคลอดและเช็คความแข็งแรงของกล้ามเนื้อกระดูกเชิงกราน แพทย์อาจตรวจทวารหนักของผู้ป่วยเพศชาย ในรายที่สงสัยว่าอาจเป็นโรคต่อมลูกหมากโต
-
การตรวจปัสสาวะ: การตรวจนี้เพื่อตัดสัญญานโรคของการติดเชื้อและการทำงานที่ผิดปกติออกไป
-
การตรวจเลือด: สามารถประเมินการทำงานของไตได้
-
การตรวจวัดปริมาณของปัสสาวะที่เหลือค้าง (PVR): คือการประเมินจากปริมาณปัสสาวะที่เหลือค้างจากปัสสาวะเสร็จสมบูรณ์ว่ามีมากน้อยเท่าไร
-
การอัลตราซาวน์กระดูกเชิงกราน: เป็นการตรวจที่ให้ภาพที่สามารถช่วยทำให้แพทย์สามารถระบุความผิดปกติอื่นๆได้
-
ภาวะวิกฤต: แพทย์อาจขอให้ผู้ป่วยทำอาการที่ไปเพิ่มแรงกดเค้นในขณะที่แพทย์สังเกตุดูปริมาณปัสสาวะที่เสียไป
-
การตรวจพลศาสตร์ระบบทางเดินปัสสาวะ: คือการทดสอบด้วยการวัดแรงดันของกระเพาะปัสสาวะและกล้ามเนื้อหูรูดว่าสามารถทนได้หรือไม่
-
การถ่ายภาพรังสีที่กระเพาะปัสสาวะ: เป็นการเอกซเรย์ที่ทำให้เห็นภาพของกระพาะปัสสาวะ
-
การส่องกล้องดูกระเพาะปัสสาวะ: ด้วยการใช้ท่อบางๆที่มีกล้องติดอยู่ที่ปลายท่อสอดใส่เข้าไปสู่ แพทย์จะสามารถเห็นท่อปัสสาวะที่ผิดปกติได้
ภาวะแทรกซ้อน
การไม่สามารถกลั้นปัสสาวะไว้นำไปสู่ความรู้สึกไม่สบายตัว, ความอับอาย, และบางครั้งอาจเกิดปัญหาทางร่างกายอื่นๆ
เช่น:
-
ผิวหนังมีปัญหา- ผู้ป่วยที่มีภาวะปัสสาวะเล็ดส่วนใหญ่มักมีอาการทางผิวหนังเช่นเจ็บ, ผื่น, และการติดเชื้อ เพราะผิวหนังจะเปียกหรือชื้นอยู่เกือบจะตลอดเวลา- ทำให้แผลยากจะรักษาและอาจเกิดการติดเชื้อราได้
-
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ- การต้องสอดใส่อุปกรณ์ของเป็นเวลานานก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงได้
-
การหย่อนยาน- ส่วนของมดลูก, กระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะอาจหย่อนลงมาตรงบริเวณทางเข้าของมดลูก เป็นสาเหตุทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอ
ความอับอายก็สามารถเป็นสาเหตุทำให้ผู้ป่วยแยกตัวออกห่างจากสังคมและสิ่งนี้อาจนำไปสู่ภาวะโรคซึมเศร้า ผู้ป่วยที่มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะปัสสาวะเล็ดควรไปพบแพทย์และทำการรักษาอย่างเหมาะสม
ข้อเท็จจริงของภาวะปัสสาวะเล็ด
-
ภาวะปัสสาวะเล็ดมักเกิดขึ้นกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
-
มีสาเหตุมากมายที่ทำให้เกิดภาวะปัสสาวะเล็ด
-
โรคอ้วนและการสูบบุหรี่คือปัจจัยเสี่ยงของการเกิดภาวะปัสสาวะเล็ด and
นี่คือแหล่งที่มาของบทความของเรา
-
https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/urinary-incontinence/symptoms-causes/syc-20352808
-
https://www.urologyhealth.org/urology-a-z/u/urinary-incontinence
-
https://www.womenshealth.gov/a-z-topics/urinary-incontinence
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก